ก่อนที่จะมองการณ์ไกลควรมองการณ์ใกล้ให้ชัดเสียก่อน
(วงศ์ทะนง
ชัยณรงค์สิงห์ : No more no less )
หลายปีที่ผ่านมามีคนหอบความฝันมาขอพูดคุยกับผมมากมาย ซึ่งผมก็ยินดี เพราะผมเป็นคนที่ให้ค่ากับความใฝ่ฝันอยู่แล้ว
แต่น่าเสียดายที่ความฝันของพวกเขา ส่วนใหญ่(มากกว่าครึ่ง)
เป็นความฝันประเภทฟุ้งๆ และบางอันก็ออกจะเฟื่องๆ
น้อยคนจะฝันอย่างมีเหตุผลและมีความเป็นไปได้
ผมเข้าใจว่าสาเหตุก็เพราะพวกเขายังไม่เข้าใจความฝันของตนเองดีพอ
ซึ่งอาจโยงไปถึงว่าพวกเขายังไม่เข้าใจตัวเองดีพอก็เป็นได้
คนจำนวนมากอยากเป็นอย่างคนอื่นอยากทำอย่างคนอื่น
อยากประสบความสำเร็จเหมือนที่ใครบางคนทำได้
แต่ไม่เคยประเมินต้นทุนความสามารถของตัวเองเลย ว่าทำอะไรได้บ้าง ทำอะไรไม่ได้บ้าง
ไม่นับปริมาณความรักจริงเอาจริงว่ามีมากพอเท่าเขาไหม
ส่วนใหญ่เรามักมองคนที่ประสบความสำเร็จที่ปลายทางของเขาเป็นบรรทัดสุดท้าย
แต่ไม่ค่อยมองย้อนกลับไปว่า กว่าจะมีวันนี้ได้
คนคนนั้นต้องล้มลุกคลุกคลานหรือผ่านร้อนผ่านหนาวมาอย่างไร
ข้อสังเกตอีกอย่างคือ
นักฝันหลายคนใจร้อนอยากประสบความสำเร็จเร็วๆ เรียกว่าฝันวันนี้แล้วอยากเห็นตัวเองสำเร็จพรุ่งนี้มะรืนนี้เลย
นั้นเป็นที่มาที่ทำให้พวกเขาไม่ค่อยอดทน เวลาพบเจออุปสรรคเล็กๆ
น้อยๆขวางหน้าก็ยอมแพ้ไม่เอาแล้ว จะว่าไปธาตุความอดทนนี้สำคัญนะครับ หลายคนประสบความสำเร็จหรือไม่
วัดกันที่ใครยืนระยะได้นานกว่ากันนี่ล่ะ
เวลาเจอใครฝันเฟื่อง
ผมจะช่วยตบๆ ความฝันจองเขาให้เข้าที่
โดยซักถามถึงความรู้จริงถ่องงแท้ในสิ่งที่เขาอยากทำ ถ้าข้อนี้ผ่าน
ผมจะยกตัวอย่างอุปสรรคปัญหาให้เขาลองแก้ไขจินตนาการความยากลำบากให้เขาลองหาทางจัดการกับมันดู
ไม่ได้อยากให้เสียกำลังใจหรอก ผมเพียงอยากให้เขาฝันบนพื้นฐานของความจริงซึ่งเป็นเรื่องสำคัญ
พิบูลศักดิ์ ละครพล นักเขียนคนหนึ่งที่ผมชื่นชอบ เคยเขียนไว้ว่า “ฝัน
ฉันฝันทุกวันที่มีชีวิตอยู่ เวลาได้บอกกับฉันว่า จงจุดความฝันขึ้นบนความจริง”
จริงอยู่ว่าคนเราควรฝันให้ไกลแล้วไปให้ถึง
ซึ่งการที่จะไปให้ถึงจุดหมายที่มุ่งหวังนั้นเราต้องมีความเข้าใจในเส้นทางที่จะไปพอสมควร
ผมถึงบอกว่า ก่อนที่จะมองการณ์ไกลเราควรมองการณ์ใกล้ให้ชัดเสียก่อน
และก่อนที่จะข้ามขั้นไปคิดการใหญ่ ลองทดสอบตัวเองด้วยคิดการเล็กก่อนดีไหม
----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น